top of page

THE RISE OF MACHINE โลกแห่งการสร้างสรรค์นี้มีอะไรใหม่




จากการใช้ไฟถึงปัญญาประดิษฐ์: การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ในโลกแห่งการสร้างสรรค์


ตามประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องมือ การใช้ไฟในการปรุงอาหาร การใช้เครื่องจักรไอน้ำ (1st Industrial Revolution, ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19) การใช้พลังงานไฟฟ้าและการขยายตัวของระบบขนส่ง (2nd Industrial Revolution, ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) การเกิดขึ้นของ


อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก (3rd Industrial Revolution, ปลายศตวรรษที่ 20) และการควบรวมระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลการผลิต เทคโนโลยีทางชีวภาพ และความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (4th Industrial Revolution ปลายศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน)


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างมหาศาล อาทิ


  1. การเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรมการผลิต ส่งผลต่อการจ้างงานของคน

  2. การมีไฟฟ้าใช้ทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลง และเปิดทางให้เกิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  3. การเชื่อมต่อกันของระบบขนส่ง ระบบสื่อสาร การมีอินเทอร์เน็ตและการมีอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ทำให้การสื่อสารรวดเร็วสะดวกสบายขึ้น

  4. เทคโนโลยีทางการแพทย์และการพัฒนาของสาธารณสุขทำให้มีเครื่องมือในการดูแล ช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น

  5. ยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันให้สามารถทำงานได้หลากหลาย และสามารถเลียนแบบการทำกิจกรรมของมนุษย์ได้ เช่น การเรียนรู้ การวางแผน และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ช่วยลดภาระงานของคน และทดแทนแรงงานที่ไม่พอในบางอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงานได้ โดยฉันได้รวบรวมตัวอย่างความฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาในส่วนถัดไป


ตัวอย่างการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI)


ที่แสดงให้เห็นความสามารถทางการแข่งขัน (1) เมื่อปี ค.ศ. 2017 มีการจัดแข่งขันหมากล้อม ระหว่าง AI ชื่อ AlphaGo ที่พัฒนาโดย Google ที่สามารถเอาชนะ เค่อเจี๋ย (Ke Jie) เซียนโกะชาวจีนมือวางอันดับ 1 ของโลก, ปาร์กจองฮวาน (Park Junghwan) มือวางอันดับ 3, อิยามะ ยูตะ (Iyama Yuta) มือวางอันดับ 5 จากญี่ปุ่น และ ลีเซดอล (Lee Sedol) มือวางอันดับ 8 จากเกาหลีใต้ได้ หรือ (2) ตัวอย่างการทดสอบปัญญาประดิษฐ์ด้วยการใช้ ChatGPT ในการทำข้อสอบของมนุษย์ในสถาบันหลายแห่ง เช่น โรงเรียนธุรกิจ โรงเรียนกฎหมาย และการสอบใบอนุญาตทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง  ChatGPT สอบผ่านทั้งหมด แม้คะแนนจะไม่สูงมาก แต่แสดงให้เห็นว่า  ChatGPT สามารถอ่านข้อสอบ วิเคราะห์ข้อสอบ และเลือกคำตอบที่ถูกต้องได้ ตามการประมวลผลของระบบข้อมูลที่มีในโปรแกรม ChatGPT ทั้งนี้อาจารย์ที่ทำการทดสอบมีความคิดเห็นในหลายแง่มุม ดังนี้


  • อาจารย์ ที่ Wharton สรุปว่า ChatGPT สามารถจัดการกับปัญหาที่ใช้ในการฝึกอบรมและการทดสอบนักศึกษา MBA แม้จะผ่านมาด้วยคะแนนที่ไม่ดีมากก็ตาม

  • อาจารย์ ที่โรงเรียนกฎหมายมหาวิทยาลัยมินนิโซตา (Minnesota Law School) กล่าวว่า ChatGPT สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และเขียนคำตอบทางกฎหมายได้อย่างน่าประทับใจ และผ่านการสอบปลายภาค 4 ครั้ง แต่ ChatGPT ยังเข้าใจแนวคิดพื้นฐานผิดอยู่ และผลคะแนนสอบอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของชั้นเรียน รวมทั้งมีปัญหากับคำถามแบบเลือกตอบ แต่ผลงานการเขียนเรียงความทำได้ดีโดยไม่มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ และอาจารย์เล็งเห็นว่า นักศึกษาอาจใช้ ChatGPT ในการสอบทางไกล ซึ่งเป็นเรื่องปกติในยุคสมัยนี้

  • ChatGPT ได้คะแนน 50-60% ของ United States Medical Licensing Examination (USMLE) ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2022 ซึ่งถือว่าผ่านการตรวจสอบใบอนุญาตทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา โดยสามารถทำข้อสอบได้ 305 ข้อ จาก 376 ข้อ การศึกษานี้ระบุว่า ChatGPT มีประสิทธิภาพเหนือกว่า PubMed GPT ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI ที่คล้ายกันที่พัฒนาขึ้นเพื่อศึกษาวรรณกรรมด้านชีวการแพทย์ (biomedical domain literature)


ตัวอย่างทั้ง 3 แสดงให้เห็นว่า บทบาทของ ChatGPT ถูกนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเขียนเรียงความ (write essays) การโค้ดคอมพิวเตอร์ (computer code) การทบทวนวรรณกรรม (literature review) และการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งยังสามารถแยกแยะใบหน้าคนได้ วิเคราะห์วัตถุและระบุตัวตนในภาพถ่ายได้ เขียนนิยายได้ ออกแบบงานตกแต่ง งานศิลปะได้ ซึ่งช่วยลดการใช้แรงกาย และแรงสมองของมนุษย์ได้


แต่ในแง่ของการสอบ อาจารย์อาจจะยังไม่มีวิธีการตรวจสอบว่า มีผู้สอบใช้  ChatGPT ในการโกงการทำข้อสอบหรือไม่ หรือระบบการสอบควรปรับเปลี่ยนรูปแบบ เนื่องจากในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง มนุษย์ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข เว็ปไซต์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในการทำงานแทนอยู่แล้ว


และถึงแม้ว่าในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า ChatGPT จะยังไม่ได้มีความสามารถทัดเทียมมนุษย์ หรือทำงานแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด 100% แต่ ChatGPT นับว่าเป็นตัวอย่างปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการทำงานได้ ในขณะเดียวกัน ยังมีปัญญาประดิษฐ์ชิ้นอื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาและถูกนำไปใช้งานแล้ว ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์อีกครั้งว่า ในภายภาคหน้าอาจมีอาชีพที่หายไป และมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นแทนที่  


เมื่อย้อนมองเส้นทางวิวัฒนาการจากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว อาจสรุปได้ว่า สังคมมนุษย์ค่อย ๆ พัฒนามาสู่ความเป็นอัตโนมัติ (Automatic) มากขึ้นเรื่อย ๆ และในอนาคต มีการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ถึงความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ที่อาจจะฉลาดมากขึ้นไปอีกขั้นและมีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ในทุก ๆ ด้าน จนเข้าสู่ภาวะเอกฐานทางเทคโนโลยี (Technological Singularity) เช่น


  1. AI สามารถคิดค้นยาที่รักษาได้ทุกโรค

  2. คนเข้าไปอาศัยใน Metaverse AI มีคลังข้อมูลของเราจากการสะสมวิถีการใช้ชีวิต ภาพถ่าย วิดีโอ และเมื่อเราเสียชีวิตทางกายภาพไป แต่คลังข้อมูลของ AI ได้สร้างตัวเราจำลองในโลกเสมือนจริง เสมือนว่าเรามีชีวิตเป็นอมตะเพื่อคนที่ยังอยู่จะติดต่อได้ หายคิดถึงหรือหายโหยหา

  3. มีการจัดตั้งรัฐบาล AI ที่ไม่ฉ้อฉล ทุกอย่างตรวจสอบได้เพราะมีฐานข้อมูลใน AI จากเครื่องมือเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบาย กลายเป็นในตอนนี้และอนาคต AI กำลังจับจองพื้นที่ส่วนแบ่งของหน้าที่การงาน เวลาของชีวิต ข้อมูลส่วนตัว และอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพื้นที่การทำงานของมนุษย์ ซึ่งมีรายละเอียดในหัวข้อต่อไป


อ่านทั้งหมดที่ NEO ACADEMY 2024 OFFICIAL ANNUAL E-BOOK

8,054 views0 comments
bottom of page