นอกเหนือจากบทที่ทำให้หนังน่าดูแล้ว ยังมีเรื่องขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ต้องสอดคล้องกันไป ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง วิสัยทัศน์ของผู้กำกับ การแสดงของนักแสดง เพลงประกอบ คอสตูม และที่ขาดไม่ได้คืองานประกอบฉาก ทั้งหมดนั้นจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของหนังให้ออกมาดีที่สุด

และในแง่ของสถาปัตยกรรมเอง ก็มีส่วนสำคัญที่อยู่ในหนังหลาย ๆ เรื่อง เช่นการสร้างเมืองในรูปแบบใหม่ ๆ ที่พักอาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือสร้างสิ่งที่โลกแห่งความจริงยังไม่มีเทคโนโลยีไหนสร้างได้ การได้สถาปัตยกรรมดี ๆ โทนภาพเฟี้ยว ๆ เข้ามาอยู่ในหนังล้วนส่งเสริมให้หนังมีเรื่องราวที่น่าสนใจและสามารถพาเราไปอยู่ในจุดที่เรียกว่า “อีกโลกหนึ่ง” เลยก็ว่าได้

และวันนี้ BuilderNews จะพาทุกคนมาชมรายชื่อหนังจ๊าบ ๆ ที่ใช้งานภาพสถาปัตยกรรมสร้างสรรค์ออกมาได้อย่าง สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ มาฝากไว้ดูในช่วงวันหยุดกันครับ

I, Robot, 2004 Dir. Alex Proyas

หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์ AI โดยหุ่นยนต์จะมาทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะทำความสะอาดบ้าน บริการขนส่ง รวมถึงงานบ้านอื่น ๆ ทีนี้พอเกิดเหตุคดีฆาตกรรมขึ้น ตำรวจก็ได้สงสัยว่า หุ่นยนต์ได้ก่ออาชญากรรมหรือเปล่า

ในหนังเรื่องนี้ จะพาคุณไปยังเมือง Chicago ปี 2035 ซึ่งเป็นปีที่ล้ำสมัยสุด ๆ มีทั้งหุ่นยนต์ ระบบคมนาคมที่เกินจินตนาการจริง ๆ การดึงเอาภาพสถาปัตยกรรมมาปรับแต่งให้อนาคตอันใกล้เป็นจริงในปีนี้ ต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่หนังเรื่องนี้ได้ออกฉายครั้งแรก ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ได้ทำออกมาให้สังคมได้ใช้งานกันคือ ระบบสื่อสารแบบ Face-Time หรือ VDO Call ที่เราใช้อยู่ทุกวัน รวมถึงการมีบทบาทมากขึ้นของสมาร์ทโฟนกับมนุษย์ ยังไม่รวมระบบ AI อื่น ๆ ที่เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์อีกนะ ขาดก็แต่หุ่นยนต์หน้าตาเหมือนจะเป็นมิตรเท่านั้นเอง


The Day After Tomorrow, 2004 Dir. Roland Emmerich

หนึ่งในหนังหายนะของมนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่ง ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อว่า The Coming Global Superstorm เขียนโดย Art Bell และ Whitley Strieber ว่าด้วยเรื่องราวของผลกระทบที่มาจากสภาพอากาศที่รุนแรง น้ำแข็งจากขั้วโลกละลายปะปนกับน้ำทะเล บวกกับสภาพอากาศที่เลวร้ายก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ และมีอุณหภูมิที่ติดลบสูงถึง -101 องศา

ทิวทัศน์มหานครนิวยอร์กได้เปลี่ยนสภาพจากเมืองที่มีชีวิต กลับกลายเป็นเมืองที่ถูกแช่แข็ง เหมือนกับย้อนกลับไปสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง งานสถาปัตยกรรมถูกสีฟ้าและสีขาวของสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย ดูดกลืนเมืองให้กลายเป็นสมรภูมิที่น่ากลัว สัตว์ป่าดุร้ายบุกโจมตีมนุษย์ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัวในยุคนั้น

ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ในตอนที่ฉายนั้น หลายคนได้ตระหนักถึงโลกร้อนอย่างแท้จริง แต่พอผ่านไปสัก 2-3 ปี เรื่องเหล่านี้ก็หายเงียบกันไปตามกระแสของหนัง เพราะเหมือนจะเป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลจากความจริงไปนิด (พอ ๆ กับเรื่อง 2012 ที่โลกจะแตกยังไงยังงั้น)


Sin City, 2005 Dir. Frank Miller & Robert Rodriguez

หนึ่งในหนังนีโอ-นัวร์ที่หลายคนพูดถึงเป็นลำดับแรก ครบทุกองค์ประกอบทั้งงานภาพขาวดำ ตีแผ่ความเน่าเฟะของสังคมในโลกดิสโทเปีย หนังเล่าเรื่องทั้งหมด 3 เส้นเรื่อง สะท้อนถึงเมืองที่ตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพลอันชั่วร้าย เป็นหนังสไตล์อเมริกาฟิล์มนัวร์อย่างแท้จริง

สภาพแวดล้อมของเมืองรวมถึงการตกแต่งภายในของ Sin City กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างหดหู่ บรรยากาศของเรื่องชวนเศร้าหมองตามภาพที่ดูดไม่ค่อยสดชื่น เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่หยิบมาดูในวันหยุดได้ไม่เบื่อเลยจริง ๆ

ต้องขอบคุณทีม CG ของหนังเรื่องนี้ ที่ดัดแปลงจากคอมมิกที่ดูดาร์กมาก ๆ อยู่แล้ว ให้ดูสมน้ำสมเนื้อ โหด ดิบ เถื่อน ไม่แพ้ต้นฉบับเลยอีกอย่างการได้ผู้เขียนคอมมิกอย่าง Frank Miller มากำกับด้วยแล้ว ไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 10 หนังนีโอ-นัวร์ (Neo-Noir) ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21


Inception, 2010 Dir. Christopher Nolan

ถ้าจะกล่าวถึงหนังที่ซับซ้อนสุด ๆ หนึ่งในรายชื่อหนังที่คนจะพูดถึงคงต้องมีหนังที่กำกับโดย Christopher Nolan อย่างแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น “เจ้าแห่งการละเล่นเรื่องเส้นเวลา” และ Inception ก็ถูกยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของเขา และหนังดีที่สุดติด 1 ใน 15 เรื่องของโลก (อิงจาก IMDb)

หนังเล่าเรื่องความฝันซ้อนฝันและซ้อนฝันและก็ซ้อนฝันไปอีก เพื่อที่จะขโมยความลับจากจิตใจของเหยื่อขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ แค่พล็อตเรื่องก็ว่าเด็ดแล้ว ที่เด็ดยิ่งกว่าคือในทุก ๆ ความฝันจะต้องมีคนออกแบบสถาปัตยกรรมและแลนด์สเคปในฝันด้วย เพื่อให้คนที่จะถูกขโมยความลับเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง

นี่คือที่สุดของหนังที่เล่นกับผังเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม เมืองถูกปรับเปลี่ยนได้ง่ายตามความนึกคิดของผู้ออกแบบ และนอกจากผู้สร้างเมืองแล้ว คนที่จะถูกโจรกรรมความคิดยังมีเกราะที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันส่วนนี้อีกด้วย เอาเป็นว่า Inception คือหนังที่ควรค่าแก่การดูที่สุดในยุคนี้ ซับซ้อนแบบมีชั้นเชิงและจุดเชื่อมโยงที่ชวนคิดตาม

เกร็ดน่ารู้: Inception ถูกเขียนบทขึ้นก่อนไตรภาคแบทแมนของ Nolan จะสร้างเสียอีก แต่ที่ไม่ผ่านเพราะค่ายหนังยังไม่มั่นใจในฝีมือ ผ่านมา 10 ปี หลังจากที่ไตรภาคแบทแมนประสบความสำเร็จ เขาก็ได้หยิบ Inception มาทำจริง ๆ เสียที เท่ากับว่า Inception ถูกเขียนและพัฒนาบทเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ Nolan ที่จะใช้เวลาส่วนมากไปกับการวิจัยบทของเขาให้สมบูรณ์และสมจริงที่สุด ใช้ CGI น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้)


Blade Runner 2049, 2017 Dir. Denis Villeneuve

ภาคต่อของหนังไซไฟ-ปรัชญาว่าด้วยเรื่องของมนุษย์และหุ่นยนต์ (ในหนังเรียกว่า Replicant หรือมนุษย์เทียม) ที่นักวิจารณ์ทั่วโลกต่างยกเรื่องนี้ขึ้นหิ้งเลย ถึงแม้ภาคแรกจะทำไว้ดีมาก ๆ แล้ว แต่ภาคต่อที่ผ่านวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของ Denis Villeneuve ทำให้ 3 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

การสร้างบรรยากาศของเมืองหลวงอย่าง The dystopian San Angeles (ซานแองเจลิสดิสโทเปีย เมืองสมมติของ San Diego และ Los Angeles) เป็นงานที่ยากมากหากจินตนาการไม่ถึง แต่สำหรับเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม ไร้ที่ติ หมองหม่นและตระการตาในเวลาเดียวกัน ทุกรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมและออกแบบภายในเรื่องนี้ ถูกกลั่นกรองออกมาอย่างดีเหมือนเสพงานศิลป์ภาพจอยักษ์

ตัวหนังจะพาเราลงไปสำรวจถึงคำว่า “ความเป็นมนุษย์” ที่ถูกตั้งคำถามขึ้นโดยมนุษย์เทียม ความสนุกของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ฉากแอคชั่น ระเบิดภูเขา เผากระท่อม หากแต่เป็นความลึกซึ้งของบทและเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปอย่างช้า ๆ Blade Runner 2049 คือหนัง Slow Burn ที่น่าติดตามตลอดทั้งเรื่องจริง ๆ


Parasite, 2019 Dir. Bong Joon-ho

หาก Man vs Bee คือหนังที่มีแบคกราวน์เป็นบ้านหลังโตสุดสวยงามแล้วละก็ อย่าลืมหนังต่างประเทศเรื่องแรกที่คว้ารางวัลออสก้าสาขา Best Picture ครั้งที่ 92 อย่าง Parasite ไปนะ เพราะนี้คือหนังตลกร้ายยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 จากเกาหลีเลย

หนังบอกเล่าเรื่องราวระหว่างครอบครัวที่ร่ำรวยกับครอบครัวที่ยากจน ผ่านการเป็นอยู่อย่างยากลำบาก และการเปรียบเปรยขั้นเทพในฉากที่ฝนตก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฉากที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก สำหรับแบคกราวน์หลักของเรื่องนี้จะอยู่ที่บ้านของครอบครัวคนรวย ที่ได้รับการออกแบบจากสถาปนิกตัวจริงอย่าง Namgoong Hyeonja และตกแต่งภายในด้วยวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ดูดี เรียบหรูสไตล์มินิมัล

ส่วนบ้านของครอบครัวที่ยากจนนั้น ก็ได้รังสรรค์จากชีวิตจริงที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดของหนังจะเป็นเรื่องที่สมมติขึ้น แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำขั้นสุดของสังคม ที่บอกเล่าผ่านสภาพแวดล้อมในหนัง ใครที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ ก็แนะนำให้ดูเถิดไม่อยากให้พลาดทั้งงานภาพและบทหนัง


The Power of the Dog, 2021 Dir. Jane Campion

หนังสไตล์ Western ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันโดย โธมัส ซาเวจ (Thomas Savage) ตัวหนังเล่าย้อนไปในปี 1925 ที่มีพื้นหลังเป็นทุ่งหญ้า ป่า เขา และเมืองเก่า ๆ สถาปัตยกรรมแบบคาวบอยที่เท่จัด ๆ ความดีงามของหนังเรื่องนี้นอกจากบทภาพยนตร์ที่ค่อย ๆ กัดกินเราให้จมดึงลงเรื่อย ๆ แล้ว บรรยากาศของธรรมชาติสไตล์ชนบท ทั้งภูเขา ทุ่งหญ้า กองฟาง แม่น้ำ ม้า วัว สุนัข บ้าน โรงนา ทำให้ทุก ๆ ฉากของเรื่องนี้มีพลังบางอย่างซ่อนอยู่

ต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะดูเรื่องนี้ออกมาให้สนุกเหมือนกับผู้เขียน แต่ความสนุกของเรื่องอยู่ที่ความลึกของ symbolic ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง รวมถึงฉากจบที่พีคขั้นสุด ที่สามารถทำให้คนพูดถึงหนังเรื่องนี้ได้กันอีกยาว ๆ การันตีความยอดเยี่ยมของภาพผ่านสายตาของ Jane Campion นุ่มลึกเกินบรรยายจริง ๆ


Credit: Metropolis Poster (1927 film)_©Boris Bilinski

Metropolis, 1927 Dir. Fritz Lang

อีกหนึ่งหนังครูที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก หนังไซไฟเงียบจากยุค 20’s บอกเล่าเรื่องราวของหุ่นยนต์และสงครามระหว่างชนชั้น ที่เกิดขึ้นในตึกระฟ้าที่กลายเป็นพื้นที่อันน่ากลัวและเป็นแบคกราวน์หลักของเรื่องนี้

ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นหนังครู? ก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้นเลย รถไฟ เครื่องบิน รถยนต์ล้ำยุค แสงสีเสียง ภาพบรรยากาศเมืองหลวงที่ดูล้ำอนาคต หุ่นยนต์ การทดลอง ชนชั้น ตึกระฟ้า ใครจะไปคิดว่าคนในยุคนั้นจะคิดได้ขนาดนี้

แถมหนังเรื่องนี้ยังได้ 3 Art Director ชั้นครูอย่าง Otto Hunte, Erich Kettelhut และ Karl Vollbrecht มาร่วมออกแบบและรังสรรค์ให้ Metropolis กลายเป็นมหานครแห่งความเจริญรุ่งเรือง ผ่านการทำงานของชนชั้นแรงงาน จนกลายเป็นการประท้วงขั้นรุนแรงที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้

เกร็ดน่ารู้: – Metropolis เป็นหนังเรื่องแรกที่มีหุ่นยนต์เพศหญิง เป็นหุ่นยนต์ตัวแรกสุดของโลก เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหุ่นยนต์ในหนัง Blade Runner และไตรภาค Star wars
– Metropolis ใช้คนแสดงจริง ๆ ทั้งเรื่อง ฉากที่คนเยอะ ๆ ก็ใช้คนจริง รังสรรค์ฉากให้ใหญ่ตามสเกลคนจริง นับว่าเป็นการใช้ตัวแสดงประกอบฉากที่เยอะที่สุดในยุคนั้น (ตัวประกอบ 37,000 คน)
– มหานคร Metropolis ได้รับอิทธิพลจาก Art Deco (ที่กำลังได้รับความนิยมขณะนั้น) ผสมผสานเข้ากับ Bauhaus, Cubist, Futurist นอกจากนี้โบสถ์ใต้ดิน, บ้านของ Rotwang มีกลิ่นอาย Gothic แห่งยุคสมัย German Expressionism


Black Panther, 2018 Dir. Ryan Coogler

หนังซูเปอร์ฮีโร่จากจักรวาล Marvel ที่หลายคนติดหูกับคำพูดที่ว่า “Wakanda Forever” แน่นอนว่าเมือง Wakanda ก็ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่ดีไซน์ออกมาได้โคตรจะจ๊าบ ไฮเทค+ทรัพยากรธรรมชาติที่ควรอนุรักษ์ไว้ รวมถึงการใช้ชิลด์ป้องกันการมองเห็นจากโลกภายนอก

Hannah Beachler โปรดักชันดีไซน์ของหนังเรื่องนี้ ได้หยิบเอากลิ่นอายของการออกแบบจาก Zaha Hadid มาใส่ในเมือง Wakanda ให้มีมุมภาพที่ดูล้ำสมัยกว่าโลกภายนอก เพราะเมืองแห่งนี้ได้รับการพัฒนาจากนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิของเมือง

“สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเรื่องนี้ ได้รับอิทธิพลจากผลงานของ Zaha Hadid เราจะเห็นถึงความโค้งมน ไร้ขอบ ยิ่งใหญ่ อลังการ สวยงาม มากเทคโนโลยี และที่สำคัญมันให้ความมินิมัลเล็ก ๆ ด้วยนะ” Beachler กล่าวถึงการออกแบบฉากในเรื่อง นอกจากนี้ยังมีการแฝงแนวคิด “AFROFUTURISM” ลงไปด้วย

AFROFUTURISM คือวัฒนธรรมแอฟริกาโบราณ มาผสมกับศิลปะและเทคโนโลยีร่วมสมัย ที่แสดงออกถึงความแตกต่างของโลกในอุดมคติ ซึ่งก็เหมือนกับเมือง Wakanda ที่ขับเคลื่อนด้วยแร่ธาตุ Vibranium จึงทำให้เมืองนั้นมีนวัตกรรมที่ล้ำสมัยกว่าโลกภายนอกนั้นเอง


2001: A Space Odyssey, 1968 Dir. Stanley Kubrick

ผลงานสุดล้ำและเหนือจินตนาการ ดีไซน์สุด Timeless อมตะนิรันดร์กาล เป็นหนังที่สถาปนิกและนักออกแบบหลายคนชื่นชอบ และหยิบมาดูทุกครั้ง เพราะ Kubrick ได้ใส่ความงดงามลงไปในงานออกแบบทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์อันล้ำสมัย ยากที่จะหาใครเทียบ

สิ่งที่น่าจดจำนอกจากเนื้อเรื่องชวนปวดหัวแล้ว ก็คงจะเป็นเรื่องงานออกแบบฉากที่ละมุมละไม น่าค้นหา ล้ำหน้าตระการตา ยานอวกาศที่มีดีไซน์สะท้อนถึงค่านิยมความเป็น “mid-century modern” ในยุคนั้น และยังได้ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA มาเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบยานอวกาศและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในอีกด้วย

ทำไมหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สถาปนิกและนักออกแบบชอบ? การหยิบเอาเฟอร์นิเจอร์มาใช้ประกอบฉากของ Kubrick นั้น เรียกได้ว่าเป็นงานดีไซน์ระดับไอโคนิกของยุคเลยก็ว่าได้ เช่น Action Office desk โต๊ะ PR ที่ออกแบบโดยโมเดิร์นนิสต์ดีไซเนอร์ จอร์จ เนลสัน ต้นแบบแห่งออฟฟิศดีไซน์ที่เรานั่งทำงานกันในปัจจุบัน, Model 042 Lounge Chair เก้าอี้รูปทรงประหลาด คล้ายกับอ่างอาบน้ำผ่าครึ่งออกแบบโดย จอฟฟรีย์ ฮาร์คอร์ท (Geoffrey Harcourt) เจ้าพ่อแห่งงานดีไซน์สไตล์ออแกนิกโมเดิร์นอีกคนแห่งทศวรรษที่ 60 เป็นต้น

(ด้านซ้าย) Action Office desk, (ด้านขวา) Model 042 Lounge Chair

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไม 2001: A Space Odyssey ถึงได้รับการขนานนามว่าเป็นหนังที่มีดีไซน์อันเป็น Timeless ทุกยุคทุกสมัย ควรค่าแก่การรับชมอย่างแท้จริง

ครบแล้วสำหรับ 10 หนังที่ BuilderNews นำมาฝากทุกคน ขอให้ดูหนังอย่างมีความสุข ใครดูเรื่องไหนแล้วถูกใจก็คอมเมนต์เข้ามาพูดคุยกันได้

ชวนดู 10 หนังเด่น ทั้งงานสถาปัตยกรรมและงานออกแบบภายใน
หลากสไตล์ หลายอารมณ์

Previous articleเทคนิคเลือกช่างซ่อมหลังคา ให้หมดปัญหารั่วซ้ำซาก
Next articleรีบตรวจก่อนสาย! สาเหตุที่บ้านของคุณก็อาจไม่ปลอดภัยจากเชื้อรา
เจตน์สฤษฏิ์ อ้องแสนคำ
Content Writer ผู้คลั่งไคล้การเสพหนัง, แคมป์ปิ้ง และอ่านหนังสือ ที่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงเข้าสู่วงการสถาปัตยกรรมเพื่อศึกษาและค้นหาแรงบันดาลใจ