Timeless Identity: Brief history of Brand Monograms

แค่มองก็รู้ว่าคือแบรนด์อะไร : บอกเล่าเรื่องราวใต้ “ลายโมโนแกรม”

25/03/2023

...

หากคุณคือแฟนตัวยงผู้หลงใหลในลักชัวรี่แบรนด์หรือแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton Dior Gucci Goyard หรือ Burberry แน่นอนว่าคุณคงคุ้นหูดีกับชื่อแบรนด์เหล่านี้ที่กล่าวมาเป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วคุณก็คงจะคุ้นตากับลายโมโนแกรมของแต่ละแบรนด์ด้วย ซึ่งลายโมโนแกรมนั้นคือลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ เพียงคุณมองลวดลายบนกระเป๋า เสื้อผ้า หรือเครื่องแต่งกาย คุณก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นของแบรนด์ไหน  ทั่วไปแล้ว  Monogram นั้นจะมีลักษณะเป็นลวดลายซ้ำๆ จัดวางซ้อนกันไปมา และอาจกล่าวได้ว่า “ลายโมโนแกรม” นั้นมีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ถูกบรรจงออกแบบขึ้นมาเปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์ของแบรนด์ผ่านศิลปะเลยก็ว่าได้ แถมมีความสำคัญไม่แพ้กับตัวโลโก้ของแบรนด์ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างการจดจำให้กับแบรนด์แล้ว ยังช่วยป้องกันการลอกเลียนแบบได้อีกด้วย วันนี้ SASOM จึงอยากจะชวนทุกคนมาอ่านเกี่ยวกับประวัติลายโมโนแกรมยอดนิยมของแบรนด์ดังระดับโลก ว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ซึ่งหากคุณรู้นัยยะของประวัติลายโมโนแกรมแล้วอาจจะทำให้คุณหลงใหลแบรนด์เนมมากกว่าเดิมก็เป็นได้ ส่วนจะมีแบรนด์ไหนบ้างนั้นตามมาอ่านกันได้เลย

Louis Vuitton Monogram

ต้องเกริ่นก่อนว่าก่อนหน้านี้ Louis Vuitton ได้มีผ้าใบที่ชื่อว่า Damier ซึ่งมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลายตารางหมากรุกแต่ปัญหาของลวดลายนี้คือไม่สามารถแก้ไขเรื่องการถูกลอกเลียนแบบได้ ด้วยเหตุนี้ ลายโมโนแกรมที่คลาสสิกและเก่าแก่ไม่แพ้ใครในเหล่าแบรนด์เนมจึงได้กำเนิดขึ้น นั่นก็คือ “LV Monogram” จากแบรนด์หลุยส์วิตตอง(Louis Vuitton) อันเป็นผลงานการออกแบบของทายาทรุ่นที่ 2 อย่าง Georges Vuitton โดยลวดลายนี้เกิดขึ้นมาเพื่อตกแต่งกระเป๋าหีบเดินทางสุดหรูของแบรนด์ Louis Vuitton ที่เปิดตัวในปี 1896  และหลังจากนั้น ลายโมโนแกรมนี้ก็ได้จดสิทธิบัตรเป็นลายลักษณ์อักษรในเวลาต่อมา  ลวดลายของ Louis Vuitton Monogram นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากการออกแบบของญี่ปุ่นและศิลปะตะวันออกในยุควิคตอเรียน โดยจะประกอบไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ LV ไขว้กัน รวมถึงมีสัญลักษณ์ลายดอกไม้และใบโคลเวอร์ประดับอยู่ข้างกันอย่างลงตัว  ในปัจจุบันนี้ ลายโมโนแกรมก็ยังเป็นจุดขายสำคัญและถือเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ทั่วโลกยอมรับและรู้จักแบรนด์นี้ในนามหลุยส์วิตตอง

Dior Oblique

แบรนด์ต่อมา หากดูภาพแล้วก็คงจะพูดว่าอ๋อ… ไปพร้อมๆ กันกับลวดลายตัวอักษรของชื่อแบรนด์ Dior ที่ถูกจัดวางแนวเฉียงอย่าง “Oblique Monogram” อันคุ้นตา รวมถึงเป็นอีกหนึ่งลายโมโนแกรมที่เก่าแก่มีอายุมากกว่า 55 ปี ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี 1967 โดย Marc Bohan ผู้เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ดิออร์ในยุคสมัยนั้น โดยลวดลายโมโนแกรมนี้ก็ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับชื่อ ซึ่งคำว่า “Oblique” แปลอย่างง่ายได้ว่า “ลาดเอียง” นั่นเอง จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงลวดลายของโมโนแกรมแบรนด์ดิออร์จะเป็นแพตเทิร์นแบบเฉียงเสมอมา ลวดลาย Dior Oblique นี้เผยแพร่สู่สายตาสาธารณชนทั่วไปในงานแฟชั่นโชว์ Spring/Summer 1969 คอลเลคชัน Haute  Couture นั่นเอง และดิออร์ก็พิสูจน์ให้เห็นกันแล้วว่า Oblique คือลวดลายโมโนแกรมอันแสนอมตะและไม่เคยห่างหายไปจากแวดวงแฟชั่น รวมถึงกล้าที่จะยืนหยัดใส่ลวดลายนี้ลงบนไอเทมชิ้นเด็ด ทั้งของผู้ชายและผู้หญิงทำให้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

Gucci GG Supreme Monogram

ลวดลายโมโนแกรมของแบรนด์นี้คงต้องเล่าย้อนไปหน่อยว่า เมื่อก่อนนั้นแบรนด์ Gucci มุ่งเน้นทำกิจการที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ขี่ม้าและเครื่องหนัง แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อปี 1930 อิตาลีถูกคว่ำบาตรสินค้าเป็นผลอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจในทวีปยุโรป จึงทำให้กุชชี่ต้องหาทางออกโดยการขยายการผลิตเข้าสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ และสิ่งนี้จึงนำไปสู่การกำเนิดลายโมโนแกรมของกุชชี่ นั่นก็คือ “Gucci GG Supreme Monogram” ลวดลายนี้เกิดขึ้นจาก Aldo Gucci ลูกชายของ Guccio Gucci  ผู้ก่อตั้งแบรนด์โดยลักษณะของลวดลายนี้คือการประสานตัวอักษรของตัว G สองตัวเข้าหากัน ซึ่งเป็นตัวอักษรย่อมาจากชื่อคุณพ่อของเขานั่นเอง พร้อมทั้งนำมาจัดวางให้เข้ากับลายข้าวหลามตัดโดยมีมุมทั้งสี่ด้านเป็นตัวอักษร GG สลับกันไปตามแพตเทิร์น จนแจ้งเกิดเป็น “Gucci GG Supreme Monogram” สุดฮิตเมื่อช่วงยุค 60s ตราบจนถึงทุกวันนี้ และที่สำคัญต้องยกเครดิตให้อดีตครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของกุชชี่อย่าง Alessandro Michele ที่เขาเลือกใช้ลายโมโนแกรมนี้ในแทบจะทุกไอเทมที่เขาออกแบบไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า เสื้อผ้า หรือรองเท้า ฯลฯ ทำให้ลวดลายนี้ยังคงเป็นดาวค้างฟ้าในวงการแฟชั่นปัจจุบัน

Goyard Goyardine

ลาย “Goyard Goyardine” นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของแบรนด์โกยาร์ด(Goyard) เลยก็ว่าได้ เนื่องจากหีบใส่ของในยุคสมัยนั้นมักจะใช้วัสดุห่อหุ้มเป็นผ้าลินินธรรมดาเท่านั้น ซึ่งทำให้ผ้าใบแบบใหม่ลายโมโนแกรม Goyard Goyardine ที่เป็นวัสดุผ้าเคลือบผสมลินินและผ้าฝ้ายโดดเด่นขึ้นมาเหนือแบรนด์อื่น เพราะมีน้ำหนักเบา ทนทาน สามารถกันน้ำได้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหนังแท้เป็นอย่างมาก ลักษณะโดดเด่นของลายโมโนแกรมนี้คือใช้ตัวรูปตัว Y ที่เป็นตัวอักษรที่อยู่ตรงกลางของชื่อแบรนด์ Goyard โดยใช้ลายเพ้นท์ที่เป็นจุดเล็กๆ มาติดเรียงกันเป็นรูปตัว Y และใช้ 2 เฉดสี นั่นก็คือสีน้ำตาลอ่อนและน้ำตาลเข้มให้ลายออกมาคล้ายท่อนซุง ซึ่งสื่อถึงประวัติของตระกูล Goyard ในอดีตที่มีบรรพบุรุษทำกิจการค้าไม้มาก่อนนั่นเอง แถมแต่ก่อนนั้นการเพนท์ลายโมโนแกรมบนผ้าใบจะต้องทำด้วยมือโดยการใช้วาดทีละจุด แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้เทคนิคการพิมพ์แบบพิเศษแทน

Burberry Check

ถ้าจะให้พูดถึงออริจินัลของโมโนแกรมลาย “Burberry Check” จากแบรนด์เบอเบอร์รี่(Burberry) แล้วนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากภาพจำติดตาคือลายสก็อตหรือลายตารางซึ่งถูกออกแบบขึ้นเมื่อปี 1920 เริ่มต้นจากการใช้เป็นลวดลายบนเทรนช์โค้ทหรือเรียกว่าเป็นโค้ทชนิดพิเศษจากการคิดค้นและพัฒนาผ้าที่ชื่อว่า “กาบาร์ดีน” ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นคือน้ำหนักเบา กันน้ำได้และทนทาน อีกทั้งยังเป็นไอเทมหลักของแบรนด์เบอเบอร์รี่ด้วย สำหรับ Burberry Check นั้นได้แรงบันดาลใจมากจากเสื้อกันหนาวผ้าลินินของชาวไร่หรือคนเลี้ยงแกะในเมื่อทศวรรษที่ 19 จนปัจจุบันนี้ ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญเปรียบเสมือนลายเซนต์ของเบอเบอร์รี่เลยก็ว่าได้ เพราะปรากฏอยู่ในทุกไอเทมของแบรนด์ตั้งแต่กระเป๋า เสื้อผ้า ไปจนถึงหมวดเครื่องสำอางเลยทีเดียว

สรุป

และทั้งหมดนี้คือประวัติลายโมโนแกรมของแบรนด์เนมชั้นนำที่เราได้นำมาฝากให้ทุกคนได้อ่านกัน ซึ่งเป็นการสื่อสารถึงประวัติของแบรนด์นั้นๆ ผ่านออกมาทางลวดลายโมโนแกรมที่ช่วยเพิ่มความหรูหรา มูลค่า และความยูนีคให้กับแบรนด์ได้